|
|
เด็กหญิงวัย 15 ท้องโตเหมือนตั้งครรภ์ แม่นึกว่าแค่อ้วนขึ้น สุดท้ายรู้ความจริงช็อกหนัก ต้องผ่าตัดด่วน
ช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเติบโต เด็กต้องเผชิญทั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แรงกดดันด้านการเรียน และความผันผวนทางอารมณ์ ซึ่งมักถึงจุดสูงสุดในช่วงวัยนี้ แต่ในฐานะพ่อแม่ หลายครั้งเรากลับให้ความสำคัญกับผลการเรียนมากเกินไป จนละเลยสัญญาณจากร่างกายของลูกโดยไม่รู้ตัว
เหตุการณ์ของนักเรียนหญิงคนหนึ่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้พ่อแม่ทุกคนต้องกลับมาทบทวน เมื่อเธอมีหน้าท้องที่โตขึ้นเรื่อย ๆ จนพ่อแม่คิดว่าเป็นเพราะ “อ้วนขึ้น” แต่ผลตรวจของแพทย์กลับทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด
ความจริงที่แม่คาดไม่ถึง
เสี่ยวเหวิน เด็กหญิงวัย 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 เป็นคนเรียนดีและเก็บตัว เธอเป็นลูกที่น่าภูมิใจของพ่อแม่และครู แต่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว แม่ของเธอ “คุณเฉิน” สังเกตว่าท้องลูกสาวดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จึงคิดว่าเป็นเพราะอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ อีกทั้งลูกเรียนหนักและออกกำลังกายน้อย คุณเฉินจึงไม่ได้สนใจมากนัก
เธอเล่าว่า ตอนนั้นเสี่ยวเหวินใส่ชุดนักเรียนหลวม ๆ ทำให้สังเกตยาก และด้วยความกลัวว่าจะเพิ่มความกดดันให้ลูก จึงเลือกเงียบไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท้องของลูกกลับโตขึ้นชัดเจน จนเริ่มเดินไม่สะดวก กินได้น้อยลง และมีอาการคลื่นไส้บ่อยขึ้น
จนกระทั่งช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ขณะพาเสี่ยวเหวินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ คุณเฉินถึงกับช็อกเมื่อเห็นว่าท้องลูกโตเท่าคนตั้งครรภ์ 4-5 เดือน เธอรีบพาไปโรงพยาบาลทันที ผลตรวจทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อแพทย์เอ่ยเพียงว่า “มีเนื้องอกในช่องท้อง”
แพทย์วินิจฉัยว่า เสี่ยวเหวินมี ถุงน้ำรังไข่ชนิดเทอราโตมา (Ovarian Teratoma) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นในรังไข่ของเด็กหญิงวัยแรกรุ่น ส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง แต่หากขนาดใหญ่หรือเกิดการบิดขั้ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื้องอกชนิดนี้มักโตช้าและไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ถูกมองข้าม จนกว่าจะเริ่มมีอาการปวดท้องหรือระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4 สาเหตุ “ท้องโตผิดปกติ” ที่พ่อแม่ต้องรู้
กรณีของเสี่ยวเหวินไม่ใช่เรื่องแปลกในวัยแรกรุ่น แพทย์กุมารเวชชี้ว่า หากเด็กมีอาการท้องโตผิดธรรมชาติ ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจมีสาเหตุซ่อนอยู่ ดังนี้
1. เนื้องอกในช่องท้อง
เด็กหญิงวัยรุ่นอาจเกิดถุงน้ำรังไข่หรือเนื้องอกในไตได้ ซึ่งทำให้ท้องขยายใหญ่ขึ้น หากไม่ได้ตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจลุกลามจนเสี่ยงต่อชีวิต
2. ภาวะท้องมาน (Ascites)
เป็นภาวะที่ของเหลวสะสมในช่องท้อง อาจเกิดจากโรคตับ โรคไต หรือหัวใจล้มเหลว ท้องจะโป่งพองและแผ่ออกเมื่อเด็กนอนราบ หากมีอาการเหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร หรือขาบวม ควรรีบพาไปพบแพทย์
3. โรคทางระบบย่อยอาหาร
โรคลำไส้อักเสบ ลำไส้อุดตัน หรือภาวะลำไส้ใหญ่ผิดปกติ (Megacolon) ล้วนทำให้ท้องโตอย่างเห็นได้ชัด มักมาพร้อมอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก หากลูกมีอาการเหล่านี้เป็นเวลานาน ควรตรวจเพิ่มเติม
4. ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
ความแปรปรวนของฮอร์โมนในวัยแรกรุ่นอาจทำให้ร่างกายสะสมไขมันผิดปกติ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s Syndrome) หากเด็กมีท้องโต แขนขาผอม ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ควรรีบตรวจฮอร์โมนทันที
สัญญาณจากลูก…อย่ามองข้าม
คุณเฉินยอมรับว่า สิ่งที่เสียใจที่สุดคือการไม่สื่อสารกับลูกให้มากพอ เธอมักพูดคุยกับเสี่ยวเหวินเฉพาะเรื่องเรียน จนละเลยเรื่องสุขภาพ วัยแรกรุ่นคือช่วงเวลาที่เด็กต้องการทั้งความเข้าใจและการรับฟังจากพ่อแม่ เพราะพวกเขาเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในพร้อมกัน
พ่อแม่จึงควรเป็นมากกว่าผู้ดูแล แต่ต้องเป็นเพื่อนร่วมทางที่พร้อมฟังและสังเกตความเปลี่ยนแปลงของลูกอย่างใกล้ชิด คำถามง่าย ๆ อย่าง “ลูกรู้สึกสบายตัวไหม” อาจเปิดประตูให้เด็กกล้าแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกเปรียบเสมือนสะพาน หากสะพานนี้สร้างด้วยความไว้วางใจ เด็กจะไม่ลังเลที่จะพูดถึงความผิดปกติทั้งทางร่างกายและอารมณ์ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ แต่ควรเป็นผู้สังเกตที่ไวต่อสัญญาณของลูก เพื่อให้ช่วยเหลือได้ทันเวลา
ทุกช่วงเวลาของการพูดคุย คือโอกาสในการสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ที่แน่นแฟ้นกว่าเดิม เพราะการรับฟังและเข้าใจ ไม่เพียงช่วยให้ลูกก้าวผ่านช่วงวัยแรกรุ่นอย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานให้พวกเขาเติบโตอย่างแข็งแรงทั้งกายและใจในอนาคต |
|